วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

TMB ปล่อยกู้ SYMC 300 ลบ.ขยายโครงข่ายวงจรสื่อสารความเร็วสูง

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2557 12:09:44 น.
นายพีรพงศ์ นิธิไกรวุฒิ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าบรรษัทธุรกิจ 1 ธนาคารทหารไทย (TMB) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ให้การสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติมจำนวน 300 ล้านบาท แก่บมจ.ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น(SYMC) เพื่อขยายโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานสำหรับวงจรสื่อสารความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในปีที่ผ่านมาปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นถึง 40% และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมผู้ใช้บริการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และในระดับภูมิภาคจากประเทศเพื่อนบ้าน
ธนาคารมองว่าปัจจุบันประเทศไทยยังคงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับอินเทอร์เน็ตและแอพพลิเคชั่นต่างๆ  ดังนั้น โอกาสการเติบโตของผู้ให้บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูงจึงยังมีอีกมาก เรียกว่าเติบโตควบคู่กับความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจก็ว่าได้ ธนาคารมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของ SYMC ซึ่งมีความสามารถในการตอบสนองความต้องการของตลาดในระยะยาวและมีรายได้ที่เติบโตสม่ำเสมอจากการให้เช่าโครงข่ายการสื่อสาร
ในปีนี้ ธนาคารจึงได้ให้การสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติมจำนวน 300 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีอยู่จำนวน 200 ล้านบาท  สำหรับนำไปลงทุนขยายโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม โดย SYMC มีเป้าหมายที่จะขยายพื้นที่การให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการวงจรความเร็วสูงระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรองรับ ธุรกรรมการสื่อสารที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558
นายกรัณย์พล อัศวสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ SYMC กล่าวว่า บริษัทได้ขยายพื้นที่ให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตรงกับความต้องการการเชื่อมต่อที่มากขึ้น และขยายแบนด์วิดธ์เพิ่มขึ้น เช่น การเชื่อมต่อในโครงข่ายส่วนบุคคล ดิจิตอลทีวี โทรศัพท์ 3G
ทั้งนี้ บริษัทเป็นผู้ให้บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูงภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยใช้โครงข่ายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงเป็นโครงข่ายหลัก เพื่อรองรับการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว โดยเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สอง ประเภทมีโครงข่ายเป็นของตนเอง จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในปี 2549 และในปี 2554 บริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม เพื่อให้บริการวงจรเช่าส่วนบุคคลระหว่างประเทศ (International Private Leased Circuit : IPLC) ใบอนุญาตเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ระหว่างประเทศ (International Internet Gateway : IIG) และบริการชุมสายอินเทอร์เน็ต (National Internet Exchange : NIX) แบบที่สอง และได้รับอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยี Wi-Fi เพิ่มเติมจากโครงข่ายเดิมตามใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สอง ประเภทมีโครงข่ายเป็นของตนเองฉบับเดิม
นอกจากนี้ บริษัท ยังได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม การให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบที่หนึ่ง  และใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์เพื่อให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ระดับชาติในปี 2556

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/iq05/1928834

ประยุทธ์ไขก๊อกบอร์ดTMB 'อารีพงศ์'นั่งคุมกรุงไทย

ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- ศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2557 00:00:56 น.

                                    'บิ๊กตู่'ลาออกบอร์ด'ธ.ทหารไทย' โชว์สปิริตผู้นำมีผลแล้วตั้งแต่วันนี้

ไทยโพสต์ * "ประยุทธ์" ลาออกกรรมการแบงก์ทหารไทย ด้านกรุงไทยแต่งตั้ง "อารีพงศ์" นั่งประธานบอร์ดคนใหม่
เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. นายเอกพล ณ สงขลา เลขานุการ ธนาคารทหารไทย (TMB)ทำหนังสือแจ้งกรรมการและผู้จัด การตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทย (ตลท.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการธนาคาร มีผลตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย.2557 เป็นต้นไป
ด้านธนาคารกรุงไทย (KTB) ทำหนังสือแจ้ง ตลท.ว่า ที่ประ ชุมคณะกรรมการธนาคาร ครั้งที่ 13/2557 (880) เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2557 มีการพิจารณาแต่งตั้งประธานกรรมการธนาคาร ประ ธานกรรมการบริหาร ประธานกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ โดยแต่งตั้ง นายอารี พงศ์ ภู่ชอุ่ม เป็นประธานกรรม การและกรรมการ แทนนายวรวิทย์ จำปีรัตน์ ที่ขอลาออก โดยธนา คารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ ให้ความเห็นชอบแล้ว มีผลตั้ง แต่วันที่ 27 มิ.ย.2557 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ยังแต่งตั้ง นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ เป็นประ ธานกรรมการบริหาร แทนนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ที่ขอลาออก พร้อมทั้งแต่งตั้ง นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม เป็นประธานกรรมการอิสระ แทนนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการตรวจสอบ และกรรมการอิสระ โดยคณะกรรมการอิสระ จะประกอบด้วย นายอารีพงศ์ ประธาน นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์, นายนนทิกร กาญจนะจิตรา และนายกัลยาณะ วิภัติภูมิประเทศ เป็นกรรมการ
นอกจากนี้ ได้แต่งตั้งนาย กัลยาณะเป็นกรรมการตรวจสอบ แทนนายประเสริฐ โดยคณะกรรม การตรวจสอบ ประกอบด้วย นาย จุลสิงห์ ประธาน นายนนทิกร และนายกัลยาณะ เป็นกรรมการตรวจสอบ.

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/tpd/1928323

TMBAM จับกระแสออก 3 กองทุนน้องใหม่ทั้งตราสารหนี้ หุ้นญี่ปุ่น และ อสังหาริมทรัพย์ RMF เปิดขายครั้งแรก 30 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม ศกนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน ThaiPR.net -- พฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2557 14:53:29 น.
กรุงเทพฯ--26 มิ.ย.--บลจ.ทหารไทย
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทฯ ได้เตรียมออกกองทุนใหม่จำนวน 3 กองทุน กระจายไปตามสินทรัพย์หลักที่อยู่ในความสนใจของผู้ลงทุน ประกอบด้วยตราสารหนี้ หุ้นญี่ปุ่น และอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ “กองทุนเปิดทหารไทยธนไพบูลย์” กองทุนรวมตราสารหนี้น้องใหม่ในตระกูล “ธนแฟมิลี่” ที่ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพได้คัดสรรตราสารหนี้คุณภาพทั้งของไทยและต่างประเทศมานำเสนอให้กับผู้ลงทุนที่ตั้งใจลงทุนในระยะเวลาค่อนข้างยาวคือ1ปีขึ้นไป “กองทุนเปิดทหารไทย Japan Equity Trigger 8” ที่ต่อยอดความสำเร็จของ 2 กองทุนทริกเกอร์หุ้นญี่ปุ่นที่ได้ออกมาก่อนหน้า และ “กองทุนเปิดทหารไทย พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม พลัส เพื่อการเลี้ยงชีพ” เพื่อผู้ลงทุนที่ต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษีและสนใจการลงทุนในกองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั้งไทยและต่างประเทศ
“เรามั่นใจว่ากองทุนตราสารหนี้น้องใหม่ “ธนไพบูลย์” ของเราจะสานต่อความสำเร็จในการบริหารกองทุนตลาดเงินและตราสารหนี้ในตระกูล “ธนแฟมิลี่”และทำให้เราก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งทั้งด้านศักยภาพการเติบโตของสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารจัดการโดยรวม จากปัจจุบันที่บริษัทฯได้บริหารกองทุนรวมตลาดเงินและตราสารหนี้เติบโตมาโดยลำดับคิดเป็นมูลค่าสินทรัพย์สุทธิรวมกันกว่า 140,000 ล้านบาท และในด้านการยกระดับผลตอบแทนที่เชื่อได้ว่าหากผู้ลงทุนได้ลงทุนเป็นเวลานานเพียงพออาทิเช่น1ปีขึ้นไป จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่พึงพอใจและคาดหวังได้ถึงผลตอบแทนที่น่าจะสูงกว่าเงินเฟ้อและการฝากเงินแบบประจำกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป รวมถึงน่าจะดีกว่ากองทุนตราสารหนี้อื่นในตระกูล “ธนแฟมิลี่” ของเรา
เพื่อยกระดับของผลตอบแทน “ธนไพบูลย์” จึงออกแบบโดยกำหนดนโยบายการลงทุนให้สามารถลงทุนในตราสารหนี้ได้กว้างขวางและหลากหลายรูปแบบกว่าเดิม ทั้งพันธบัตร ตราสารหนี้ภาครัฐ สถาบันการเงินและภาคเอกชน ซึ่งนอกจากลงทุนในประเทศแล้วยังเปิดกว้างสำหรับการลงทุนต่างประเทศ (มีการป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเกือบเต็มจำนวน) ขณะเดียวกันผู้จัดการกองทุนมืออาชีพจะใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการบริหารพอร์ตลงทุน มุ่งสร้างสมดุลย์ของผลตอบแทนและสภาพคล่อง โดยจัดสรรการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพระยะปานกลางถึงยาวให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มผลตอบแทน ขณะที่ยังรักษาสภาพคล่องซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการด้วยพลังของตราสารหนี้ระยะสั้น ทั้งนี้คาดว่าอายุเฉลี่ยพอร์ตการลงทุน (Duration) ในระยะแรกจะอยู่ที่ประมาณ 1 ปีและในระยะยาวจะไม่เกิน 4 ปีซึงถือได้ว่ายาวที่สุดในกลุ่มกองทุนตราสารหนี้ของเรา ด้วยเหตุนี้ NAV ในระหว่างทางของกองทุนนี้จึงอาจมีความผันผวนมากกว่ากองทุนตราสารหนี้อื่นอยู่บ้าง จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนลงทุนถือครองให้ยาวนานขึ้น” ดร.สมจินต์กล่าว
คุณไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุนได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ“กองทุนเปิดทหารไทย Japan Equity Trigger 8” ว่าระดับราคาหุ้นญี่ปุ่นยังคงน่าสนใจจากปัจจัยบวกทั้งภาครัฐและธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ยังคงมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ และบริษัทจดทะเบียนญี่ปุ่นที่มีพื้นฐานที่เข้มแข็งอยู่แล้วนั้นมีผลกำไรเติบโตขึ้น เราพบว่าข้อมูลจาก Bloomberg ระบุความเห็นนักวิเคราะห์จากการสำรวจครั้งล่าสุดได้คาดการณ์ดัชนี Nikkei 225 ตอนสิ้นปี อยู่ที่ระดับประมาณ 16,500 จุดขึ้นไป โดยค่ากลาง (Median) ที่สำรวจอยู่ที่ 17,150 จุด ซึ่งเติบโตกว่าระดับปัจจุบัน (25 มิถุนายน 2557) ที่ 15,750 จุด ดังนั้น เราจึงเชื่อมั่นว่ากองทุนนี้จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับทั้ง 2 กองทุนทริกเกอร์หุ้นญี่ปุ่นของเราที่ออกมาก่อนหน้า
และสำหรับ “กองทุนเปิดทหารไทย พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม พลัส เพื่อการเลี้ยงชีพ” นั้นได้ต่อยอดความสำเร็จจากกองทุนเปิดเดิมที่เพิ่งเปิด IPO เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเชื่อว่าคุณลักษณะของที่สำคัญของอสังหาริมทรัพย์คือการสร้างรายได้ที่เกิดจากค่าเช่าซึ่งมีความเสถียรภาพอยู่พอสมควรน่าจะเหมาะสมกับผู้ลงทุนที่สนใจการลงทุนระยะยาวรูปแบบ RMF นี้” คุณไพศาลกล่าว
ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมทั้ง 3 กองทุนดังกล่าว สามารถติดต่อได้ที่ส่วนลูกค้าสัมพันธ์ TMBAM โทร 1725, ธนาคารทีเอ็มบีทุกสาขา และ ผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง หรือ www.tmbam.com


อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/prg/1928040

ใช้บัตรเครดิตแบบฉลาด กับ “ทีเอ็มบี โซ สมาร์ท” บัตรแรกและบัตรเดียวของไทย ที่ทำให้

ข่าวหุ้น-การเงิน ThaiPR.net -- พฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2557 10:02:03 น.

ใช้บัตรเครดิตแบบฉลาด กับ “ทีเอ็มบี โซ สมาร์ท” บัตรแรกและบัตรเดียวของไทย ที่ทำให้เงินงอกเงย


กรุงเทพฯ--26 มิ.ย.--แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์
ไลฟ์สไตล์สำหรับคนยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น กิน ดื่ม เที่ยว อินเทรนด์กับแฟชั่น ทริปพักผ่อน หรือแม้แต่การ อัพความสวย เพิ่มความงามต่างๆ มักจะเกิดขึ้นจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต อีกช้อยส์หนึ่งของทางเลือกที่ทำให้ไลฟ์สไตล์ของคนเราทุกวันนี้สะดวกสบายมากขึ้น ล่าสุด TMB จัดงานเปิดตัว “บัตรเครดิต ทีเอ็มบี โซ สมาร์ท” (TMB So Smart) ‘บัตรเครดิตของคนใช้เงินสมาร์ท’ บัตรเดียวของไทยที่ช่วยทำให้เงินของคุณเพิ่มพูนขึ้นได้ เสมือนกับเป็นการออมทรัพย์อีกทางหนึ่ง ด้วยการรับเงินคืน 1% ทุกยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเข้าบัญชีเงินฝากไม่ประจำ ทีเอ็มบี ที่ให้ดอกเบี้ยสูง 2.25% โดยงานเปิดตัวได้จัดขึ้น ณ แบงค์กิ้งฮอลล์ ทีเอ็มบี สำนักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน
นางกาญจนา โรจวทัญญู หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารส่งเสริมการตลาดลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบี กล่าวว่า “ด้วยความเป็นแบรนด์ที่ Make THE Difference เราเลือกที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่าง ตรงจุด โดย บัตรเครดิตทีเอ็มบี โซ สมาร์ท ตอบโจทย์คนที่ใช้เงินแบบชาญฉลาด กับเงินเก็บออมที่งอกเงยขึ้นจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยลูกค้าจะได้รับเงินคืน 1% จากทุกยอดการใช้จ่ายไม่ยกเว้นประเภทสินค้าหลักในชีวิตประจำวัน (ยกเว้นยอดซื้อกองทุนรวมซึ่งต้องห้ามตามระเบียบของสมาคมบริษัทจัดการกองทุน, ยอดแบ่งจ่ายรายเดือนต่างๆ และยอดจากการบริการแลกเงินตราต่างประเทศ) เงินที่ได้คืน จะโอนเข้าบัญชีเงินฝากไม่ประจำ ทีเอ็มบี ดอกเบี้ยสูง (TMB No Fixed) ซึ่งลูกค้าจะได้รับดอกเบี้ยสูง 2.25% จากบัญชีดังกล่าว ทั้งนี้ โดยลูกค้าสามารถได้รับยอดเงินคืนสูงสุดถึง 2,000 บาท ต่อรอบบัญชี ซึ่งถือว่าบัตรเครดิตที่ช่วยให้ชีวิตของลูกค้าดีขึ้นจริงๆ ทั้งยังยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้าและไม่คิดค่าธรรมเนียมรายปี แค่มีเงินเดือน 15,000 บาท ก็ทำบัตรเครดิตกับทีเอ็มบีได้”
จูน-สาวิตรี โรจนพฤกษ์ พิธีกรคิวทองที่ร่วมงาน เผยว่า “พกบัตรเครดิตติดตัวตลอด ไม่พกเงินสดแล้ว หลังจากที่ประสบเหตุกับตัวเอง ที่กระเป๋าเงินหายในงานอีเวนท์ เพราะส่วนใหญ่เราต้องอยู่บนเวที อยู่ใน อีเวนท์ ไม่มีคนดูแลกระเป๋าให้ บัตรเครดิตเป็นแค่บัตรเล็กๆ บางๆ พกง่าย อย่างชุดที่ใส่ขึ้นเวที ส่วนใหญ่จะมีกระเป๋าซ่อนในตัวเดรส ที่สามารถใส่บัตรเครดิตได้ ทุกวันนี้ใช้จ่ายในหลักร้อยก็ใช้บัตรเครดิต สำหรับตนเอง คิดว่า การใช้บัตรเครดิตอย่างสมาร์ท คือ ใช้น้อยกว่าเงินที่เราหาได้ คิดอยู่เสมอว่าบัตรเครดิตมีค่าเท่ากับเงินสด และมีกฎเหล็กหรือวินัยกับตัวเอง คือ ใช้เท่าไร ก็ต้องจ่ายให้หมด สำหรับบัตรใหม่ ทีเอ็มบี โซ สมาร์ท รู้สึกว่าได้ประโยชน์เหมือนกับเราซื้อของและได้ส่วนลด แถมยังได้ออมเงิน เพราะเงินจะถูกโอนเข้าบัญชี มีดอกเบี้ยให้ด้วย”
ทั้งนี้ เพื่อฉลองการเปิดตัวบัตรใหม่ ตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 31 กรกฎาคมศกนี้ ทีเอ็มบี มอบโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับลูกค้าใหม่ที่เพิ่งถือบัตรเครดิตของทีเอ็มบี โดยสมัครบัตร ทีเอ็มบี โซ สมาร์ทเป็นใบแรก และใช้จ่ายผ่านบัตรฯ 5,000 บาท ขึ้นไป ภายใน 60 วัน จะได้รับเงินคืนเพิ่มอีก 500 บาท เข้าบัญชีเงินฝากไม่ประจำ ทีเอ็มบี ดอกเบี้ยสูง จากเงินคืนปกติ 1% พิเศษ!! ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า และรายปีอีกด้วย
ลูกค้าที่สนใจสมัครบัตรเครดิตทีเอ็มบี โซ สมาร์ท (TMB So Smart) สมัครได้เลยที่ ทีเอ็มบีทุกสาขา หรือ ติดต่อสอบถามรายละเอียด ได้ที่ TMB Contact Center โทร. 1558

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/prg/1927818

TMB แนะเอกชนปรับตัวรับผลกระทบส่งออก-ลงทุน-ท่องเที่ยว หลัง EU ลดระดับความสัมพันธ์

ข่าววันพุธที่ 25 มิถุนายน นำมาลงวัน อาทิตย์ 29 มิถุนายน 2557

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี(TMB Analytics) ประเมินว่า จากกรณีสหภาพยุโรป (อียู) ประกาศลดระดับความสัมพันธ์กับประเทศไทย ทำให้ข้อตกลงทางการค้า การลงทุนและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ อาจต้องชะลอออกไปก่อนจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดอียู ทั้งนี้ เนื่องจากยังไม่มีการ sanction หรือห้ามธุรกิจและธุรกรรมระหว่างประเทศ ผลกระทบต่อการทำธุรกิจและธุรกรรมระหว่างเอกชนด้วยกันเองจะยังไม่ได้รับผลกระทบมาก
ใจความหลักสำคัญของมติที่ประชุมของคณะรัฐมนตรีต่างประเทศอียูอยู่ในข้อ 4 ที่ว่า "ให้ประเทศสมาชิกอียูระงับการเยือนอย่างเป็นทางการระหว่างกัน รวมถึงไม่ให้ลงนามกรอบความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือกับประเทศไทย Partnership & Cooperation Agreement (PCA) จนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง" ซึ่งทาง TMB Analytics ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
ผลกระทบแรก คือ ผลกระทบต่อการส่งออก พบว่าการส่งออกสินค้าไปอียูในปีหน้าจะได้รับผลกระทบอยู่แล้ว เนื่องจากกรอบการได้รับสิทธิ์ GSP ของไทยจะหมดลงในปีนี้ เราประเมินว่าหากข้อตกลง PCA ครอบคลุมการลงนามในข้อตกลง FTA ยิ่งจะทำให้การเจรจาการค้าเสรีไทย-อียู และผลบังคับใช้เลื่อนออกไป ทำให้ในช่วงระหว่างรอเจรจา ผู้ส่งออกไทยต้องเสียภาษีขาเข้าในอัตราปกติ และอาจต้องสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันในตลาดยุโรป โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพิงตลาดอียูมาก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ ไก่แปรรูป กุ้งแช่แข็ง และชิ้นส่วนเครื่องจักรอุตสาหกรรม
ผลกระทบลำดับถัดมา คือ ผลกระทบต่อการลงทุน ประเมินว่าในระยะสั้นน่าจะส่งผลกระทบน้อย เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งกดดันไม่ให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนได้ เนื่องจากการที่อียูระงับการเจรจา PCA ทำให้การวางฐานรากความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านอื่นๆ รวมทั้งทางด้านการลงทุนต้องชะลอออกไปก่อนจนกว่าไทยจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง (มูลค่าเงินลงทุนของอียูในไทยอยู่อันดับที่ 3 คิดเป็น 8.5%ของเงินลงทุนต่างประเทศ รวม)
ผลกระทบสุดท้าย คือ ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ประเมินว่าได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากมติประชุมดังกล่าวไม่ได้บังคับพลเรือนให้เข้ามาในไทย มีผลเพียงการระงับการเดินทางอย่างเป็นทางการของหน่วยงานราชการของอียูเท่านั้น ทั้งนี้ ตัวเลขนักท่องเที่ยวอียู 5 เดือนแรกของปีนี้พบว่ายังขยายต้ว 6.4% (yoy) ในขณะที่ภาพรวมการท่องเที่ยวหดตัว -5.9%(yoy) อย่างไรก็ดี ต้องจับตาว่าจะมีการลดระดับความสัมพันธ์เพิ่มเติมหรือไม่ และด้วยมาตรการใด
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี มองว่า การลดระดับความสัมพันธ์ครั้งนี้ อาจทำให้ข้อตกลงด้านเศรษฐกิจระหว่างรัฐกับรัฐ (G2G) ต้องถูกเลื่อนออกไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนในระยะยาวมากกว่าระยะสั้น ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของภาครัฐ คือ จะต้องเร่งสร้างความชัดเจนแก่ภาคเอกชนถึงประกาศดังกล่าวว่าครอบคลุมเศรษฐกิจด้านใดบ้าง เพื่อให้ภาคเอกชนได้ปรับตัว ในขณะที่ผู้ประกอบการไทยเองก็จำเป็นต้องเร่งปรับตัวเช่นกัน ด้วยการลดต้นทุนการผลิต และหาตลาดใหม่ รวมถึงออกไปแสวงหาโอกาสการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่ยังได้รับสิทธิ์ GSP อยู่ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะถัดไป

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/iq03/1927184

TMB เตรียมรับมือผลกระทบหลัง EU ลดระดับความสัมพันธ์กับประเทศไทย

ข่าวหุ้น-การเงิน ThaiPR.net -- พุธที่ 25 มิถุนายน 2557 14:34:42 น.
กรุงเทพฯ--25 มิ.ย.--ธนาคารทหารไทย

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ประเมินผลกระทบหลังสหภาพยุโรปลดระดับความสัมพันธ์กับไทย อาจทำให้ข้อตกลงทางการค้า การลงทุนและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ต้องชะลอออกไป
จากกรณีสหภาพยุโรป (อียู) ประกาศลดระดับความสัมพันธ์กับประเทศไทย ทำให้ข้อตกลงทางการค้า การลงทุนและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ อาจต้องชะลอออกไปก่อน จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดอียู ทั้งนี้ เนื่องจากยังไม่มีการ sanction หรือห้ามธุรกิจและธุรกรรมระหว่างประเทศ ผลกระทบต่อการทำธุรกิจและธุรกรรมระหว่างเอกชนด้วยกันเองจะยังไม่ได้รับผลกระทบมาก ทั้งนี้ ใจความหลักสำคัญของมติที่ประชุมของคณะรัฐมนตรีต่างประเทศอียูอยู่ในข้อ 4 ที่ว่า “ให้ประเทศสมาชิกอียูระงับการเยือนอย่างเป็นทางการระหว่างกัน รวมถึงไม่ให้ลงนามกรอบความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือกับประเทศไทย Partnership & Cooperation Agreement (PCA) จนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง” ทาง TMB Analytics ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
ผลกระทบแรก คือ ผลกระทบต่อการส่งออก พบว่าการส่งออกสินค้าไปอียูในปีหน้าจะได้รับผลกระทบอยู่แล้ว เนื่องจากกรอบการได้รับสิทธิ์ GSP ของไทยจะหมดลงในปีนี้ เราประเมินว่า หากข้อตกลง PCA ครอบคลุมการลงนามในข้อตกลง FTA ยิ่งจะทำให้การเจรจาการค้าเสรีไทย-อียู และผลบังคับใช้เลื่อนออกไป ทำให้ในช่วงระหว่างรอเจรจา ผู้ส่งออกไทยต้องเสียภาษีขาเข้าในอัตราปกติ และอาจต้องสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันในตลาดยุโรป โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพิงตลาดอียูมาก ได้แก่เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ ไก่แปรรูป กุ้งแช่แข็ง และชิ้นส่วนเครื่องจักรอุตสาหกรรม ผลกระทบลำดับถัดมา คือ ผลกระทบต่อการลงทุน เราประเมินว่า ในระยะสั้นน่าจะส่งผลกระทบน้อย เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งกดดันไม่ให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนได้ เนื่องจากการที่อียูระงับการเจรจา PCA ทำให้การวางฐานรากความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านอื่นๆ รวมทั้งทางด้านการลงทุนต้องชะลอออกไปก่อนจนกว่าไทยจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง (มูลค่าเงินลงทุนของอียูในไทยอยู่อันดับที่ 3 คิดเป็น 8.5%ของเงินลงทุนต่างประเทศ รวม) และผลกระทบสุดท้าย คือ ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว เราประเมินว่า ได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากมติประชุมดังกล่าว ไม่ได้บังคับพลเรือนให้เข้ามาในไทย มีผลเพียงการระงับการเดินทางอย่างเป็นทางการของหน่วยงานราชการของอียูเท่านั้น ทั้งนี้ ตัวเลขนักท่องเที่ยวอียู 5 เดือนแรกของปีนี้ พบว่ายังขยายต้ว 6.4% (yoy) ในขณะที่ภาพรวมการท่องเที่ยวหดตัว -5.9%(yoy) อย่างไรก็ดี ต้องจับตาว่าจะมีการลดระดับความสัมพันธ์เพิ่มเติมหรือไม่ และด้วยมาตรการใด
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบีมองว่าการลดระดับความสัมพันธ์ครั้งนี้ อาจทำให้ข้อตกลงด้านเศรษฐกิจระหว่างรัฐกับรัฐ (G2G) ต้องถูกเลื่อนออกไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนในระยะยาวมากกว่าระยะสั้น ดังนั้น โจทย์ใหญ่ของภาครัฐ คือ จะต้องเร่งสร้างความชัดเจนแก่ภาคเอกชนถึงประกาศดังกล่าวว่า ครอบคลุมเศรษฐกิจด้านใดบ้าง เพื่อให้ภาคเอกชนได้ปรับตัว ในขณะที่ผู้ประกอบการไทยเองก็จำเป็นต้องเร่งปรับตัวเช่นกัน ด้วยการลดต้นทุนการผลิต และหาตลาดใหม่ รวมถึงออกไปแสวงหาโอกาสการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่ยังได้รับสิทธิ์ GSP อยู่ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะถัดไป

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/prg/1927167

นักลงทุนมีเฮ...กองทุนเจแปนของ TMBAM ถึงเป้า 5% แรก พร้อมกัน 2 กอง!!

           
ข่าวหุ้น-การเงิน ThaiPR.net -- พฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน 2557 15:01:48 น.


                                     นักลงทุนมีเฮ...กองทุนเจแปนของ TMBAM ถึงเป้า 5% แรก พร้อมกัน 2 กอง!!
กรุงเทพฯ--19 มิ.ย.--บลจ.ทหารไทย
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด ประกาศข่าวดีแก่ผู้ลงทุน เมื่อกองทุนเปิดทหารไทย Japan Equity Trigger 10% ทั้ง 2 กองทุนโชว์ฟอร์มดี สบโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายแรก 5%
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ. ทหารไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯประสบความสำเร็จในการบริหารพอร์ตกองทุนเปิดทหารไทย Japan Equity Trigger 10% ที่ดำเนินการจัดตั้งกองทุนไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2557 และ กองทุนเปิดทหารไทย Japan Equity Trigger 10% (2) ที่ดำเนินการจัดตั้งกองทุนไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2557 โดยทั้ง 2 กองทุนถือเป็นกองทุนปิดที่สามารถบริหารจัดการเพื่อทำกำไรให้แก่นักลงทุนได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และพร้อมจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหน่วยได้ภายในวันที่ 25 มิถุนายน 2557 นี้ โดยเงื่อนไขเป็นไปตามหนังสือชี้ชวน
ดร.สมจินต์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ในช่วงที่ออกกองทุนนั้นระดับราคาของหุ้นญี่ปุ่นถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างมากเพราะอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาอื่นๆขณะที่พบว่ามีกระแสเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองในประเทศยังมีความเปราะบางสูง เราจึงได้เชิญชวนผู้ลงทุนให้มีมุมมองการลงทุนแบบ Global Investors โดยแสวงหาโอกาสใหม่ๆจากการแบ่งเงินลงทุนไปยังต่างประเทศซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของพอร์ตการลงทุนไปพร้อมๆกัน
สำหรับ ‘กองทุนเปิดทหารไทย Japan Equity Trigger 10%’ ทั้งสองกองทุนของเรานั้นได้เสนอขายในรูปแบบกองทุนที่กำหนดเป้าหมายผลตอบแทนที่แน่นอน (Trigger) เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นญี่ปุ่นอย่างสม่ำเสมอ โดยมีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลักเพียงกองเดียวคือกองทุน Nikkei 225 ETF ของ Nomura Asset Management ซึ่งมีนโยบายจัดสรรน้ำหนักการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนีหลักของหุ้นญี่ปุ่นคือ Nikkei 225 ซึ่งประกอบด้วยหุ้นชั้นนำพื้นฐานดีเป็นหลักและส่วนมากพวกเราก็รู้จักกันเป็นอย่างดี อาทิเช่น Toyota, Honda, Sony, Panasonic, Canon, Asahi, ANA, UNIQLO, และ 7-Eleven เป็นต้น
คาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทฯ เหล่านี้จะยังคงได้รับปัจจัยบวกจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลญี่ปุ่น เช่นมาตรการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล มาตรการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางญี่ปุ่น (QE) และพื้นฐานอันเข้มแข็งของบริษัทจดทะเบียนเอง ประกอบกับการบริโภคภาคประชาชนที่ยังคงไว้ด้วยความแข็งแกร่ง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เองที่จะเป็นตัวผลักดันให้กองทุนเปิดทหารไทย Japan Equity Trigger 10% ทั้ง 2 กองทุน สามารถบริหารจัดการให้เป็นไปตามเป้าหมาย 10% ได้ในเร็วๆนี้”
ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมอื่นๆภายใต้การจัดการของบริษัทฯ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนลูกค้าสัมพันธ์ TMBAM โทร 1725 หรือผ่านช่องทางการขายของบริษัทฯ ได้แก่ธนาคาร TMB ทุกสาขาทั่วประเทศ ตัวแทนการสนับสนุนการขายที่ได้รับการแต่งตั้ง และบริการต่างๆของบริษัท อาทิ ทางอินเตอร์เนตผ่านเวปไซด์ www.tmbam.com

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/prg/1922961

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

บลจ.ยูโอบี เปิดขายกองทริกเกอร์ 3%+3% รับแนวโน้มตลาดหุ้นขาขึ้น

วันศุกร์ที่ 13  มิถุนายน 2557 นำมาลงวัน จันทร์ที่ 16 มิถุนายน 2557


บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย)เสนอขาย กองทุนเปิด ไทย ทริกเกอร์ 3% พลัส 3% (T3P3) 13-18 มิ.ย.จัดจำหน่ายผ่านธนาคารทหารไทย(TMB) และผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนที่ บลจ.แต่งตั้ง ส่วนกองทุนเปิด ยูโอบี ทริกเกอร์ 17 (UOBT17) เสนอขายในวันที่ 17-18 มิ.ย.จัดจำหน่ายผ่านธนาคารยูโอบี(UOB) และผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนที่ บลจ.แต่งตั้ง โดยกองทุนดังกล่าวมีผลตอบแทนเป้าหมาย 3%+3%
นางสาวณัชชา สุนทรธาราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลักจากการประกาศและดำเนินการนโยบายทางเศรษฐกิจ ได้ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจรวมถึงแนวโน้มการปรับขึ้นของกำไรของบริษัทจดทะเบียน บลจ.ยูโอบีฯ จึงเล็งเห็นโอกาสการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ซึ่งเป็นภาวะตลาดขาขึ้น
ครึ่งปีหลังนี้จากปัจจัยสนับสนุนหลักจากการเมืองในประเทศที่เริ่มคลี่คลาย นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ชัดเจนและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเร่งอนุมัติโครงการลงทุนของภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ การผลักดันงบค้างจ่ายต่างๆ ซึ่งสร้างความมั่นใจต่อภาพรวมเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนโดยรวม ปัจจัยพื้นฐานมีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยเริ่มมีการปรับตัวเลขคาดการณ์ของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มฟื้นตัว อีกทั้งเงินทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากนโยบายผ่อนคลายการเงินของธนาคารกลางทั้งในและต่างประเทศ

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/iq05/1918820

เผยสินเชื่อบุคลยังมีโอกาสเติบโตคนกล้าใช้เงินหลังศก.ฟื้นตัวแบงก์แห่กระตุ้นตลาดปลายปี

อังคารที่ 10 มิถุนายน 2557 นำมาลงวัน จันทร์ที่ 16 มิถุนายน 2557

นางกาญจนา โรจวทัญญู หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารส่งเสริมการตลาดลูกค้าบุคคลธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีสัญญาณดีขึ้น เห็นได้จากความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนกลับมามากขึ้น เพราะสถานการณ์การเมืองมีทิศทางชัดเจนมากขึ้น ซึ่งทีเอ็มบีคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพิ่ม 0.5-1 % เป็น 2.5-3 % จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 2 %
ทั้งนี้เศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้นจะส่งผลต่อการใช้จ่ายของประชาชนให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และคาดว่ายอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงมั่นใจการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตปีนี้จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 20-25 % ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หลังจากไตรมาส 1 ขยายตัว 8-10 % ซึ่งสูงกว่าภาพรวมตลาดบัตรเครดิตที่คาดจะขยายตัวทั้งปีที่ 8-10 % เท่านั้น
ส่วนคุณภาพหนี้บัตรเครดิตยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่น่ากังวล โดยมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) บัตรเครดิตเพียง 2 % ซึ่งทีเอ็มบีจะเน้นดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด แม้ไม่เพิ่มหลักเกณฑ์การทำบัตรเครดิตสำหรับลูกค้าใหม่
ทั้งนี้ ทีเอ็มบีจะออกบัตรเครดิตใหม่ทั้งปี 140,000 ใบ จากที่ออกไปแล้วไตรมาสแรก 40,000-50,000 ใบ ซึ่งจะเน้นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ตรงจุด โดยล่าสุดมีการออกบัตรเครดิต TMB So Smart ที่จะคืนเงิน 1 % ให้กับผู้ถือบัตรทุกยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเข้าบัญชีเงินฝากไม่ประจำทีเอ็มบี ให้ดอกเบี้ย 2.25 % โดยตั้งเป้าจะออกบัตรให้ได้ 30,000 ใบในปีนี้
ด้านบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ด้ทำการสำรวจพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีระดับรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 8,000 บาทขึ้นไป ในกรุงเทพฯ จำนวน 500 คน ซึ่งใช้บริการเฉพาะกับธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์ที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
โดยผลของการสำรวจ สรปุได้ว่าพฤติกรรมการใช้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ใช้บริการธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์ ชี้ให้เห็นว่าโอกาสการเติบโตทางธุรกิจที่ยังคงมีอยู่  สอดคล้องกับทิศทางความต้องการใช้จ่ายผ่านสินเชื่อส่วนบุคคลในปี 2557 ขณะที่แม้ข้อมูลจากผลสำรวจจะชี้ถึงภาวะที่ผู้บริโภคบางส่วนเผชิญภาวะหนี้สินหลายทางและเลือกใช้สินเชื่อส่วนบุคคลในการเสริมสภาพคล่อง ไปจนถึงชำระคืนหนี้สินอื่น ๆ บ้าง แต่ส่วนใหญ่ของผู้ใช้บริการ ก็ยังสามารถบริหารจัดการภาระหนี้ให้สอดคล้องกับระดับของรายได้ อีกทั้งมีวินัยการชำระคืนหนี้ที่อยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ระดับปานกลางอยู่ในช่วงประมาณ 15,001-50,000 บาท
ทั้งนี้การติดตามดูแลลูกหนี้ของผู้ให้บริการ ก็น่าจะช่วยคลายความกังวลต่อปัญหาคุณภาพหนี้ของสินเชื่อส่วนบุคคลลงไปได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่ แนวโน้มสินเชื่อส่วนบุคคลเมื่อเข้าสู่ครึ่งปีหลังนั้น คาดว่าน่าจะมีแรงส่งมากขึ้น โดยเฉพาะหากทางการสามารถผลักดันการใช้จ่ายของภาครัฐให้ก้าวหน้าและฟื้นฟูความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของภาคเอกชน ซึ่งอาจกระตุ้นให้ผู้ให้บริการสินเชื่อ
ส่วนบุคคลหันมาทำตลาดมากขึ้นเพิ่มเติมในช่วงปลายปี และทำให้สินเชื่อส่วนบุคคลมีโอกาสขยายตัวสูงเข้าหา 9% ณ สิ้นปี 2557 ซึ่งเป็นกรอบบนของช่วงประมาณการปัจจุบันที่ 6-9% ได้ แม้ว่าเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2556 ที่ 16.3% และสิ้นไตรมาส 1/2557 ที่ 12.9% จะยังเป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอลงค่อนข้างมาก จากผลของฐานและปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทานในตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลที่ชะลอลงในไตรมาส 1 และคาดว่าจะชะลอต่อเนื่องในไตรมาส 2 ของปีนี้ ก็ตาม

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/nnd/1915712

TMB ปลื้มไทย ทริกเกอร์ 10% เข้าเป้า

อังคารที่ 10 มิถุนายน 2557


น.ส.กมลวรรณ อิ่มฤทัยเจริญโชค เจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์การลงทุน ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า จากที่ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบี และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) พันธมิตรของธนาคาร ได้ร่วมกันคัดสรรผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่ดีมีคุณภาพ ด้วยการสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าของธนาคารเป็นอย่างดีและต่อเนื่อง โดยล่าสุดกับการตอกย้ำในมุมมองการลงทุนอย่างมืออาชีพ กับการแนะการลงทุนใน "กองทุนเปิดไทยทริกเกอร์ 10% (10)" ที่สามารถสร้างผลตอบแทนตามเป้าหมาย 10% ในระยะเวลาเพียง 125 วันเท่านั้น
กองทุนเปิดไทยทริกเกอร์ 10% (10) มูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท เป็นกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยเสนอขายไปตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งตั้งเป้าหมายผลตอบแทนไว้ที่ 10% ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2557 กองทุนฯ สามารถสร้างผลตอนแทนได้ตามเป้าหมาย โดย NAV อยู่ที่ 11.0084 บาท ทำให้เข้าเงื่อนไขการเลิกโครงการได้ก่อนกำหนด นับเป็นอีกช่องทางการลงทุนที่ทีเอ็มบี แนะนำลูกค้าให้เข้ามาลงทุนในรูปแบบดังกล่าวฯ ซึ่งสร้างผลงานได้เป็นที่น่าพอใจ ลูกค้าของธนาคารก็ชื่นชม นั่นแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ ในการเลือกสรรการลงทุนที่แม่นยำ และการจับจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังมีกองทุนเปิดไทยทริกเกอร์ 11 ที่สร้างผลตอบแทนลงทุนถึงเป้าหมายขั้นแรก 5% ไปแล้วในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ รวมถึงผลการดำเนินงานของกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ต่างประเทศทั้งที่เลือกลงทุนในญี่ปุ่น และยุโรป ที่ผลตอบแทนใกล้จะถึงเป้าหมายที่กำหนดในเร็ววันนี้อีกด้วย ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์การลงทุนที่ธนาคารได้แนะนำในปีนี้

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/bmnd/1915853

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ME by TMB คว้าตัว 2 ซุปตาร์สุดฮอต พลอย-ติ๊ก เปิดแคมเปญ WAKE UP YOUR MONEY WITH ME “ปลุกเงินให้ตื่น” รับดอกเบี้ยสูง 6 เท่าของบัญชีออมทรัพย์ กับ ME

ข่าวหุ้น-การเงิน ThaiPR.net -- อังคารที่ 10 มิถุนายน 2557 16:55:42 น.


กรุงเทพฯ--10 มิ.ย.--Chomchaviwan
ME by TMB Self-Service banking ที่ให้คุณทำธุรกรรมด้วยตัวเองเพื่อรับผลตอบแทนที่มากกว่า นำโดย นางสาวรัชดา เสริมศิลปกุล ผู้อำนวยการการตลาดและการขาย ME by TMB เปิดตัวแคมเปญใหญ่ “WAKE UP YOUR MONEY WITH ME” ปลุกเงินให้ตื่น พร้อมเปิดตัวอัตราดอกเบี้ยพิเศษที่สูงถึง 6 เท่าของบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป กับ ME by TMB โดยมี 2 ซุปเปอร์สตาร์ คนดัง “พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์” และ “ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี” พร้อมด้วยพิธีกรมากความสามารถ “จอห์น วิญญู วงศ์สุรวัฒน์” ร่วมกระตุ้นคนไทยให้ปลุกเงินที่นอนหลับอยู่ในบัญชีออมทรัพย์ เพื่อศึกษาทางเลือกการออมใหม่ๆ ที่ให้ดอกเบี้ยสูงและคล่องตัว อย่าง ME by TMB เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ME Place ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
ผู้สนใจสามารถเปิดบัญชีและศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ME Call Center 0-2502-0000 หรือ ทางเว็บไซต์ WWW.MEBYTMB.COM และ ME Place ทุกสาขา ได้แก่ สาขา เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 3, สีลม คอมเพล็กซ์ ชั้น 5, เดอะมอลล์ บางกะปิคอมเพล็กซ์ ชั้น 2 (โซนน้ำตก), เดอะมอลล์ บางแค ชั้น 3 (โซนธนาคาร), เอสพละนาด รัชดาภิเษก ชั้น 2

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/prg/1916382

ทีเอ็มบีรุกตลาดบัตรเครดิตเปิดตัวบัตรTMB So Smart

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน 2557



นายเบอร์นาร์ด คุ๊ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้ารายย่อย ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB เปิดเผยว่า ธนาคารยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เป้าหมายหลักของธนาคาร คือการมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการธุรกรรมการเงินคุณภาพ ที่ช่วยให้ลูกค้ามีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง 
 โดยผลิตภัณฑ์ของทีเอ็มบีนั้นจะต้องตอบโจทย์ความต้องการที่ลูกค้ามีกับธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่าย การเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่มากกว่า หรือการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตทีเอ็มบีก็ได้รับการออกแบบมาด้วยวัตถุประสงค์ดังกล่าวเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์คุณภาพประเภทอื่นๆ ของทีเอ็มบี เพื่อตอกย้ำความเป็นธนาคารที่ให้บริการธุรกรรมการเงินที่ดีที่สุด เราจึงมีผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่มที่มีโจทย์หรือความต้องการที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับกลยุทธ์บัตรเครดิตของทีเอ็มบีนั้น จะต้องมีผลิตภัณฑ์บัตรที่ให้สิทธิประโยชน์โดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่น มีส่วนผสมทางการตลาดที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มการใช้บัตรอย่างต่อเนื่อง และมีช่องทางการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงตัวลูกค้าและอำนวยความสะดวกในการสมัครบัตร กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป (Mid-income) ซึ่งเป็นฐานผู้ถือบัตรเครดิตใหญ่ แต่ละคนก็มีความต้องการและความชอบต่างกัน ในแง่การชำระเงิน มีทั้งคนที่ชอบชำระเต็มจำนวนทุกเดือน และคนที่ชอบจ่ายชำระขั้นต่ำหรือบางส่วน
ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการบัตรเครดิตของทีเอ็มบี เราไม่ได้จัดแบ่งประเภทบัตรตามรายได้ของผู้สมัคร เช่น บัตรคลาสสิค บัตรทอง แพลตินัมเหมือนที่ตลาดทำกัน แต่เราออกแบบบัตรเครดิตให้ตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้า เรามีบัตรเครดิตทีเอ็มบี โซ ชิลล์ (TMB So Chill) สำหรับผู้ที่ชอบกดเงินสดและจ่ายไม่เต็มจำนวน และวันนี้เรามีบัตรเครดิต ทีเอ็มบี โซ สมาร์ทบัตรแรกและบัตรเดียวในไทยที่ให้ลูกค้ามีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ลูกค้ามีเงินงอกเงยขึ้น ไม่ใช่มีแต่การใช้จ่ายเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะมาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ชอบออมเงินพร้อมรับดอกเบี้ยสูง และอนาคตเราจะมีบัตรที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่ชอบสะสมคะแนนด้วย
นางกาญจนา โรจวทัญญู หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารส่งเสริมการตลาดลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบี กล่าวเสริมว่า บัตรเครดิตทีเอ็มบี โซ สมาร์ท มีจุดเด่นที่เหนือกว่าบัตรเครดิตในตลาดทั่วไป เพราะได้พัฒนาขึ้นมาตามความต้องการลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์มากยิ่งขึ้น และตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการใช้เงินแบบสมาร์ทๆ ด้วยการช่วยให้ลูกค้ามีเงินเก็บออมที่งอกเงยขึ้นจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต
โดยลูกค้าจะได้รับเงินคืน 1% จากทุกยอดการใช้จ่ายไม่ยกเว้นประเภทสินค้าหลักในชีวิตประจำวัน (ยกเว้นยอดซื้อกองทุนรวมซึ่งต้องห้ามตามระเบียบของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ยอดแบ่งจ่ายรายเดือนต่างๆ และยอดจากการบริการแลกเงินตราต่างประเทศ) คืนเข้าบัญชีเงินฝากไม่ประจำ ทีเอ็มบี ดอกเบี้ยสูง (TMB No Fixed) ซึ่งลูกค้าจะได้รับดอกเบี้ยสูง 2.25% จากบัญชีดังกล่าว
ทั้งนี้ โดยลูกค้าสามารถได้รับยอดเงินคืนสูงสุดถึง 2,000 บาท ต่อรอบบัญชี ซึ่งถือว่าบัตรเครดิตที่ช่วยให้ชีวิตของลูกค้าดีขึ้นจริงๆ ทั้งยังยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้า และไม่คิดค่าธรรมเนียมรายปี แค่มีเงินเดือน 15,000 บาท ก็ทำบัตรเครดิตกับทีเอ็มบีได้

ทั้งนี้ ตลอดช่วงเปิดตัว ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม ศกนี้ ธนาคารฯ ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับลูกค้าใหม่ที่เพิ่งถือบัตรเครดิตของทีเอ็มบี โดยสมัครบัตรทีเอ็มบี โซ สมาร์ท เป็นใบแรก และใช้จ่ายผ่านบัตรฯ 5,000 บาท ขึ้นไป ภายใน 60 วัน จะได้รับเงินคืนเพิ่มอีก 500 บาท เข้าบัญชีเงินฝากไม่ประจำ ทีเอ็มบี ดอกเบี้ยสูง จากเงินคืนปกติ 1%
อ้างอิง :    http://www.kaohoon.com/online/90730 TMB-So-Smart.htm

TMB ตั้งเป้ายอดบัตรเครดิตใหม่ปีนี้ 1.4 แสนใบ ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรโต 25%

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2557 17:17:07 น.

ธนาคาร ทหารไทย (TMB) ตั้งเป้าบัตรเครดิตใหม่ในปีนี้ 1.4 แสนใบ ซึ่งขณะนี้มียอดบัตรใหม่แล้ว 4-5 หมื่นใบ และตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโต 25%
ขณะที่บริษัทจะพยายามรักษาระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ใกล้เคียงที่ 2%
พร้อมมองว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) มีโอกาสจะขยายตัวเพิ่มอีก 0.5-1% จาก Sentiment ที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากในช่วงครึ่งปีแรกที่อยู่ในภาวะชะงักงัน
นางกาญจนา โรจวทัญญู หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารส่งเสริมการตลาดลูกค้าบุคคล ธนาคารทหารไทย (TMB) กล่าวว่า ธนาคารทหารไทยตั้งเป้ายอดค่าใช้จ่ายผ่านบัตรทั้งปีเติบโต 25% หรือ 25,000-30,000 ล้านบาทต่อบัตรต่อปี จากปีก่อนมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรอยู่ที่ 20,000 ล้านบาทต่อบัตรต่อปี จากครึ่งปีแรกมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรอยู่ที่ 8-10% หรือคิดเป็นมูลค่า 13,000 บาทต่อบัตรต่อเดือน
ขณะที่ตลาดบัตรเครดิตครึ่งปีแรกโตได้ 4% และคาดว่าทั้งปีตลาดบัตรเครดิตจะเติบโตได้ 8-10% ทั้งนี้ปัจจัยที่จะผลักดันให้ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโตได้ตามเป้าหมายนั้น เนื่องด้วยมองว่าครึ่งปีหลังนี้เรื่องของการจับจ่ายใช้สอยจะกลับมาดีขึ้น โดยปัจจุบันธนาคารฯมีฐานลูกค้าบัตรเครดิตอยู่ที่ 300,000 ราย จากปีก่อนอยู่ที่ 280,000 ราย ซึ่งคาดว่า ณ สิ้นปี 57 จะมีฐานลูกค้าอยู่ที่ 400,000 ราย
สำหรับบัตรเครดิตใหม่ปีนี้ธนาคารฯตั้งเป้าไว้ที่ 140,000 บัตร โดยครึ่งปีแรกมีบัตรเครดิตใหม่ 50,000 บัตร ซึ่งคาดว่าทั้งปีจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ได้ จากที่ธนาคารฯมีการเปิดตัวบัตรเครดิตใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการจัดโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าใหม่อีกด้วย อย่างในครั้งนี้ที่มีการเปิดตัวบัตรเครดิต "ทีเอ็มบี โซ สมาร์ท" ซึ่งเข้ามาตอบโจทย์ให้กับลูกค้าได้อย่างตรงจุด
สำหรับบัตรเครดิตทีเอ็มบี โซ สมาร์ท มีจุดเด่นที่เหนือกว่าบัตรเครดิตในตลาดทั่วไป เพราะได้พัฒนาขึ้นมาตามความต้องการลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์มากยิ่งขึ้น และตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการใช้เงินแบบสมาร์ทๆ ด้วยการช่วยให้ลูกค้ามีเงินเก็บออมที่งอกเงยขึ้นจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยลูกค้าจะได้รับเงินคืน 1% จากทุกยอดการใช้จ่ายไม่ยกเว้นประเภทสินค้าหลักในชีวิตประจำวัน (ยกเว้นยอดซื้อกองทุนรวมซึ่งต้องห้ามตามระเบียบของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ยอดแบ่งจ่ายรายเดือนต่างๆ และยอดจากการบริการแลกเงินตราต่างประเทศ) คืนเข้าบัญชีเงินฝากไม่ประจำ ทีเอ็มบี ดอกเบี้ยสูง (TMB No Fixed) ซึ่งลูกค้าจะได้รับดอกเบี้ยสูง 2.25% จากบัญชีดังกล่าว ทั้งนี้ โดยลูกค้าสามารถได้รับยอดเงินคืนสูงสุดถึง 2,000 บาท ต่อรอบบัญชี ซึ่งถือว่าบัตรเครดิตที่ช่วยให้ชีวิตของลูกค้าดีขึ้นจริงๆ ทั้งยังยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้า และไม่คิดค่าธรรมเนียมรายปี แค่มีเงินเดือน 15,000 บาท ก็ทำบัตรเครดิตกับทีเอ็มบีได้
ขณะที่ หนี้ที่ไม่สามารถก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้ธนาคารยังคงรักษาระดับไว้ที่ 2% ซึ่งธนาคารมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามธนาคารฯมองว่าหลังจากที่เศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น จากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีการอนุมัติจ่ายเงินแก่ชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว ทำให้มีเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบมากขึ้น และเรียกความเชื่อมั่นของภาคเอกชนกลับคืนมาได้จากนโยบายต่างๆที่ทาง คสช.ได้ให้ไว้ ธนาคารฯคาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ GDP น่าจะมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้น 0.5-1% จากที่ธนาคารฯคาดว่าปีนี้ GDP จะเติบโตได้ 2% บวกลบ
"ทั้งปีก็น่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ โดยมองครึ่งปีหลังเราก็จะมีการออกบัตรใหม่ อย่างเช่น บัตรทีเอ็มบี โซ สมาร์ท ซึ่งการปล่อยสินเชื่อต่างๆจะตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น เศรษฐกิจประเทศคาดว่าก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยมองภาพโดยรวมดีหมด ทั้งการลงทุน ความเชื่อมั่นต่างๆกลับมา มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น หลังจากมีเงินเข้าสู่ระบบ โอกาสที่ GDP จะเพิ่มขึ้น 0.5-1% ก็จะมีเพิ่มขึ้น จากที่เคยมองไว้อยู่ที่ระดับ 2%"นางกาญจนา กล่าว

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/iq05/1915483

ทีเอ็มบี ตอบโจทย์ลูกค้าตรงจุดอีกครั้ง รุกตลาดบัตรเครดิตเปิดตัว ‘ทีเอ็มบี โซ สมาร์ท’ บัตรเครดิตของคนใช้เงินสมาร์ท บัตรแรกและบัตรเดียวของไทย ที่ทำให้เงินของลูกค้างอกเงย

ข่าวหุ้น-การเงิน ThaiPR.net -- จันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2557 14:13:13 น.



กรุงเทพฯ--9 มิ.ย.--ทีเอ็มบี
ทีเอ็มบีเปิดตัวบัตรเครดิต ทีเอ็มบี โซ สมาร์ท (TMB So Smart) ‘บัตรเครดิตของคนใช้เงินสมาร์ท’ บัตรเดียวของไทยที่ช่วยทำให้เงินของลูกค้างอกเงยขึ้น ด้วยการรับเงินคืน 1% ทุกยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเข้าบัญชีเงินฝากไม่ประจำ ทีเอ็มบี ที่ให้ดอกเบี้ยสูง 2.25% เพื่อตอบโจทย์ทางการเงินที่หลากหลายด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่มีคุณค่าทำให้ชีวิตของลูกค้าดียิ่งขึ้น แถมไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า และรายปีอีกด้วย พิเศษ!! ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 กรกฎาคมนี้ ทีเอ็มบีได้จัดโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าใหม่ที่สมัครบัตรเครดิตทีเอ็มบี โซ สมาร์ท และใช้จ่ายผ่านบัตรฯ 5,000 บาท ขึ้นไป ภายใน 60 วัน จะได้รับเงินคืนเพิ่มอีก 500 บาท นอกจากเงินคืนปกติ 1% เข้าบัญชีเงินฝากไม่ประจำ ทีเอ็มบี ดอกเบี้ยสูง
นายเบอร์นาร์ด คุ๊ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้ารายย่อย ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า “ทีเอ็มบียึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เป้าหมายหลักของธนาคาร คือการมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการธุรกรรมการเงินคุณภาพ ที่ช่วยให้ลูกค้ามีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลิตภัณฑ์ของทีเอ็มบีนั้นจะต้องตอบโจทย์ความต้องการที่ลูกค้ามีกับธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่าย การเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่มากกว่า หรือการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตทีเอ็มบีก็ได้รับการออกแบบมาด้วยวัตถุประสงค์ดังกล่าวเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์คุณภาพประเภทอื่นๆ ของทีเอ็มบี เพื่อตอกย้ำความเป็นธนาคารที่ให้บริการธุรกรรมการเงินที่ดีที่สุด เราจึงมีผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่มที่มีโจทย์หรือความต้องการที่แตกต่างกันออกไป”
“สำหรับกลยุทธ์บัตรเครดิตของทีเอ็มบีนั้น จะต้องมีผลิตภัณฑ์บัตรที่ให้สิทธิประโยชน์โดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่น มีส่วนผสมทางการตลาดที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มการใช้บัตรอย่างต่อเนื่อง และมีช่องทางการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงตัวลูกค้าและอำนวยความสะดวกในการสมัครบัตร กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป (Mid-income) ซึ่งเป็นฐานผู้ถือบัตรเครดิตใหญ่ แต่ละคนก็มีความต้องการและความชอบต่างกัน ในแง่การชำระเงิน มีทั้งคนที่ชอบชำระเต็มจำนวนทุกเดือน และคนที่ชอบจ่ายชำระขั้นต่ำหรือบางส่วน ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการบัตรเครดิตของทีเอ็มบี เราไม่ได้จัดแบ่งประเภทบัตรตามรายได้ของผู้สมัคร เช่น บัตรคลาสสิค บัตรทอง แพลตินัมเหมือนที่ตลาดทำกัน แต่เราออกแบบบัตรเครดิตให้ตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้า เรามีบัตรเครดิตทีเอ็มบี โซ ชิลล์ (TMB So Chill) สำหรับผู้ที่ชอบกดเงินสดและจ่ายไม่เต็มจำนวน และวันนี้เรามีบัตรเครดิต ‘ทีเอ็มบี โซ สมาร์ท’ บัตรแรกและบัตรเดียวในไทยที่ให้ลูกค้ามีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ลูกค้ามีเงินงอกเงยขึ้น ไม่ใช่มีแต่การใช้จ่ายเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะมาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ชอบออมเงินพร้อมรับดอกเบี้ยสูง และอนาคตเราจะมีบัตรที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่ชอบสะสมคะแนนด้วย”
นางกาญจนา โรจวทัญญู หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารส่งเสริมการตลาดลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบี กล่าวเสริมว่า “บัตรเครดิตทีเอ็มบี โซ สมาร์ท มีจุดเด่นที่เหนือกว่าบัตรเครดิตในตลาดทั่วไป เพราะได้พัฒนาขึ้นมาตามความต้องการลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์มากยิ่งขึ้น และตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการใช้เงินแบบสมาร์ทๆ ด้วยการช่วยให้ลูกค้ามีเงินเก็บออมที่งอกเงยขึ้นจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยลูกค้าจะได้รับเงินคืน 1% จากทุกยอดการใช้จ่ายไม่ยกเว้นประเภทสินค้าหลักในชีวิตประจำวัน (ยกเว้นยอดซื้อกองทุนรวมซึ่งต้องห้ามตามระเบียบของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ยอดแบ่งจ่ายรายเดือนต่างๆ และยอดจากการบริการแลกเงินตราต่างประเทศ) คืนเข้าบัญชีเงินฝากไม่ประจำ ทีเอ็มบี ดอกเบี้ยสูง (TMB No Fixed) ซึ่งลูกค้าจะได้รับดอกเบี้ยสูง 2.25% จากบัญชีดังกล่าว ทั้งนี้ โดยลูกค้าสามารถได้รับยอดเงินคืนสูงสุดถึง 2,000 บาท ต่อรอบบัญชี ซึ่งถือว่าบัตรเครดิตที่ช่วยให้ชีวิตของลูกค้าดีขึ้นจริงๆ ทั้งยังยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้า และไม่คิดค่าธรรมเนียมรายปี แค่มีเงินเดือน 15,000 บาท ก็ทำบัตรเครดิตกับทีเอ็มบีได้”
ทั้งนี้ ตลอดช่วงเปิดตัว ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม ศกนี้ ธนาคารฯ ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับลูกค้าใหม่ที่เพิ่งถือบัตรเครดิตของทีเอ็มบี โดยสมัครบัตรทีเอ็มบี โซ สมาร์ท เป็นใบแรก และใช้จ่ายผ่านบัตรฯ 5,000 บาท ขึ้นไป ภายใน 60 วัน จะได้รับเงินคืนเพิ่มอีก 500 บาท เข้าบัญชีเงินฝากไม่ประจำ ทีเอ็มบี ดอกเบี้ยสูง จากเงินคืนปกติ 1%
ลูกค้าที่สนใจสมัครบัตรเครดิตทีเอ็มบี โซ สมาร์ท สมัครได้เลยที่ ทีเอ็มบีทุกสาขา หรือ ติดต่อสอบถามรายละเอียด ได้ที่ TMB Contact Center โทร. 1558

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/prg/1915536

TMB คาด GDP ปีนี้อาจโตกว่า 2.5% หวังโรดแมพคสช.ช่วยกระตุ้นศก.H2/57ฟื้น

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน 2557 12:36:03 น.

       ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี (TMB Analytics) คาดเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสขยายตัวมากกว่า 2.5% หลังจากมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องของ “โรดแมพด้านเศรษฐกิจและแนวนโยบายเร่งดำเนินการ” ที่ประกอบด้วยหลายมาตรการ เช่น เน้นแก้ไขปัญหาที่ค้างจากรัฐบาลรักษาการณ์ ปลดล็อกอุปสรรคในเรื่องการลงทุน รวมทั้งเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและต่างชาติ ล่าสุด สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์ ได้ยืนยันเรตติ้งของประเทศไทยไว้ที่อันดับ Baa1 พร้อมคงมุมมองที่มีเสถียรภาพ
สำหรับแนวนโยบายที่เร่งดำเนินการ ประกอบด้วย เร่งจ่ายเงินโครงการจำนำข้าว, โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2557, คงอัตราภาษี VAT 7% ต่อเนื่องไปอีก 1 ปี, ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือนที่ 22.63 บาท/กก. ไม่มีกำหนด, ตรึงราคาน้ำมันดีเซล, ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น, เร่งเบิกจ่ายงบลงทุนปี 57 ที่สะดุด, ตั้งบอร์ด BOI, เร่งจัดทำงบประมาณประจำปี 58 และดูแลผู้ประกอบการที่ประสบปัญหา
TMB Analytics ประเมินว่าหากมาตรการดังกล่าวเร่งดำเนินการได้อย่างเต็มที่ จะเป็นปัจจัยบวกที่เอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ผ่านการขับเคลื่อนขององค์ประกอบหลัก โดย การบริโภคจะเริ่มฟื้นตัว หลังได้อานิสงส์จากการเร่งจ่ายเงินโครงการจำนำข้าว (ล่าสุดจ่ายแล้วเกือบ 4 หมื่นล้านบาท) มาตรการพยุงค่าครองชีพ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์บ้านเมืองที่ผ่อนคลายมากขึ้น คาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.2 จากคาดการณ์เดิม
อีกทั้ง การลงทุนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2557 ที่ยังค้างท่อ การเร่งจัดทำงบประมาณปี 2558 ให้แล้วเสร็จก่อนเดือนกันยายนนี้ และเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า รวมทั้งโครงการรถไฟรางคู่ ให้บรรจุอยู่ในงบประมาณปี 2558  ก่อให้มีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปีนี้ได้ราว 5 หมื่นล้านบาท  ซึ่งส่งผลเชื่อมโยงให้การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นตามมา อย่างไรก็ตาม การลงทุนจะมีบทบาทผลักดันเศรษฐกิจชัดเจนมากขึ้นในปี 2558 โดยคาดว่าในปี 2557 จะส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 0.4 จากคาดการณ์เดิม
นอกจากนี้ การผ่อนคลายระยะเวลาเคอร์ฟิวเป็นเที่ยงคืนถึงตีสี่ และล่าสุดยกเลิกเคอร์ฟิวในเมืองท่องเที่ยวบางแห่ง ได้แก่ พัทยา เกาะสมุย และจังหวัดภูเก็ต   เป็นปัจจัยหนุนบรรยากาศการท่องเที่ยวในภูมิภาคฟื้นตัว ถึงแม้จะไม่สามารถทดแทนตัวเลขการผ่านด่านที่สนามบินสุวรรณภูมิที่ลดลงได้หมด
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้โรดแมพดังกล่าว จะสามารถเรียกปฏิกิริยาตอบรับเชิงบวกได้จากหลายภาคส่วน แต่คงต้องติดตามถึงประสิทธิภาพของการดำเนินการมาตรการต่างๆอย่างใกล้ชิด ว่าจะสามารถส่งผลทำให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี 2557  ขยายตัวได้เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 2 ได้มากน้อยขนาดไหน

อ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/iq03/1913000

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

TMB Analytics มองยุทธศาสตร์สนับสนุนการออมของประเทศเป็นสิ่งจำเป็น

วันที่ : 30 พฤษภาคม 2557 นำมาลงวันที่ 4 มิถุนายน 2557
หนึ่งทศวรรษการออมไทย…รายย่อยฝากน้อย กู้หนัก
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics มองยุทธศาสตร์สนับสนุนการออมของประเทศเป็นสิ่งจำเป็นหลังสัญญาณการออมในรอบทศวรรษที่ผ่านมาส่อปัญหา เงินฝากของรายย่อยเพิ่มขึ้นไม่ทันการขยายตัวของหนี้ภาคครัวเรือนที่เร่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
 แม้ทางเลือกในการออมของคนไทยจะมีความหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน แต่การฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ก็ยังเป็นทางเลือกอันดับแรกของหลายคน เพราะนอกจากจะสามารถใช้บริการได้ง่ายแล้ว ยังมีความปลอดภัยภายใต้เงื่อนไขกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินฝากที่มียอดไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่ได้รับการคุ้มครองแน่นอน  ทำให้การออมของประชาชนจึงยังอยู่ที่เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผู้ฝากเงินรายย่อย
 ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา (เปรียบเทียบข้อมูล มี.ค. 2547 กับ มี.ค. 2557) พบว่าการฝากเงินของรายย่อยซึ่งมีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อบัญชี ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 98 ของจำนวนบัญชีเงินฝากทั้งหมด มีอัตราการเพิ่มของยอดเงินฝากโดยเฉลี่ยเพียงร้อยละ 5.7 ต่อปี ต่ำกว่าการขยายตัวของรายได้ต่อหัวของคนไทยที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6.5 ต่อปี และที่แย่ไปกว่านั้นคือ อัตราการขยายตัวของเงินฝากรายย่อยนั้นต่ำกว่าการก่อหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มถึงร้อยละ 13.7 ต่อปี 
 เมื่อศึกษาพฤติกรรมการออมของคนไทยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โดยแบ่งช่วงบัญชีเงินฝากตามขนาดของบัญชี พบว่า อัตราการเติบโตของยอดเงินในบัญชีมักจะเพิ่มตามขนาดของบัญชี อาทิ กลุ่มบัญชีเงินฝากที่มียอดฝากไม่เกิน 5 หมื่นบาท มีการขยายตัวของยอดเงินฝากรวมที่อัตราร้อยละ 4.5 ต่อปี ต่ำกว่ากลุ่มบัญชีเงินฝากที่มียอดระหว่าง 5 แสนถึง 1 ล้านบาท ที่มีการขยายตัวถึงร้อยละ 6.3 ทำให้สามารถตีความได้ว่า ผู้ที่มีกำลังการออมสูงกว่า หรือ อีกนัยหนึ่งมีคือมีรายได้ที่จะออมมากกว่า จะมีความสามารถ ให้เงินทำงาน ได้มากกว่า
 แต่ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงก็สามารถเพิ่มเงินออมได้ถ้ามีความตั้งใจจริง โดยการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งสามารถทำได้โดยไม่กระทบต่อคุณภาพชีวิต แถมยังอาจทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างคือ ควรเลิกจน เครียด กินเหล้า เพราะจากตัวเลขการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2554 ชี้ว่าค่าใช้จ่ายสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 1 ของค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นต่อเดือน ซึ่งหากสามารถละเลิกการใช้จ่ายในส่วนนี้ไปได้ เงินออมก็งอกเงยร้อยละ 1 ของรายจ่ายต่อเดือนเช่นกัน ส่วนค่าใช้จ่ายในการเล่นหวยและการพนันมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 1 ของค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นต่อเดือน ดังนั้น ถ้าเลิกเหล้าและการพนันได้ เงินออมก็จะงอกเงยร่วมร้อยละ 2 และ ยิ่งหากลดค่าใช้จ่ายในการสื่อสารที่มีโครงสร้างประมาณร้อยละ 3 ของรายจ่ายรายเดือนลงได้หนึ่งในสาม ก็หมายถึงเราจะมีเงินออมเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 3 ได้อย่างสบาย ความสำเร็จในการออมจึงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
 จากผลสำรวจเดียวกันนี้ ยังพบอีกว่า กลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยจะมีสัดส่วนหนี้ที่นำมาใช้ในการบริโภคอุปโภคต่อหนี้สินทั้งหมด ในอัตราที่ค่อนข้างสูง โดยกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 15,000 บาท จะมีสัดส่วนของหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคสูงถึงร้อยละ 51 เทียบกับกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 15,000 บาท ที่มีสัดส่วนดังกล่าวเพียงร้อยละ 36
 สถิติข้างต้นสะท้อนให้เห็นภาวะออมน้อยกู้มาบริโภคหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ไม่สูง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลไปยังศักยภาพในการชำระหนี้ รวมไปถึงปัญหาทางการเงินของประชาชนในกลุ่มดังกล่าวด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การเผชิญหน้ากับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งประเทศไทยได้เริ่มก้าวเข้าสู่แล้วในปีนี้ (ประชากรไทยที่มีอายุ 65 ขึ้นไป มีสัดส่วนเกินร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมดแล้ว) อาจสร้างภาระทางการเงินให้กับประเทศได้มาก เช่น คนอาจมีเงินไม่พอใช้จ่ายในการดำรงชีพ หรือ รัฐต้องจัดงบประมาณให้เป็นสวัสดิการแก่ประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะก่อให้มีปัญหาการคลังตามมาได้ เป็นต้นหากภาวะการออมของคนไทยยังไม่ได้รับการดูแลแก้ไขให้เป็นนโยบายระดับชาติ

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทีเอ็มบี ปล่อย 426 ล้านบาทสนับสนุน ศรีชลธร


ข่าววันที่ 28 พฤษภาคม 2557 นำมาลงวันที่ 2 มิถุนายน 2557


นายไตรรงค์ บุตรากาศ (ซ้าย) หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบี และ นายตะวัน ตันวัชรพันธ์(ขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีชลธร จำกัด ร่วมลงนามในข้อตกลงสินเชื่อหมุนเวียน โดยทีเอ็มบีให้การสนับสนุนสินเชื่อ จำนวนเงิน 426 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องด้านการดำเนินธุรกิจให้กับศรีชลธร  ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ดำเนินการธุรกิจงานปรับปรุงระบบจำหน่ายและระบบสายส่งไฟฟ้า กับคู่ค้าหลักในกลุ่มการไฟฟ้า

อ้างอิง : https://www.tmbbank.com/newsroom/news-details.php?id=561

ทีเอ็มบีสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้ แซส เทค โซลูชั่น

ข่าววันที่ 28 พฤษภาคม 2557 นำมาลงวันที่ 2 มิถุนายน 2557



นายไตรรงค์ บุตรากาศ (ซ้าย) หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า ธนาคารได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ บริษัท แซส เทค โซลูชั่น จำกัด เป็นจำนวน 195 ล้านบาท เพื่อเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์ สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมัน ได้แก่  เครื่องชั่งอัตราการไหลระดับความสูง, เครื่องจักรกล, ปั๊ม, วาวล์ และเครื่องมือทุกชนิด เพื่อจำหน่ายให้กับบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของประเทศ โดยนายนายสุรศักดิ์ อุดมศิลป์ กรรมการ บริษัท แซส เทค โซลูชั่น จำกัด ร่วมลงนามในสัญญา ณ ทีเอ็มบี สำนักงานใหญ่

อ้างอิง : https://www.tmbbank.com/newsroom/news-details.php?id=560